เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.พ. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราชาวพุทธ เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เราต้องการคุณงามความดีของเรา ทุกคนมีคุณงามความดี สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข สังคมที่มันแตกแยกเพราะทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนขวนขวายอยากเอาผลประโยชน์ส่วนตน ถ้าผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ส่วนรวมมันคือผลประโยชน์ของตน เพราะอะไร

เพราะเวลาเราเกิดมา เราเกิดมาในชาติที่ร่มเย็นเป็นสุข ไปที่ไหนเขาถามว่ามาจากไหน เราภูมิใจมาก เราจะบอกว่ามาจากชาติของเรา แต่ถ้าชาติของเรามีการแบ่งแยก มันแตกแยกขึ้นไป เวลาเขาถามว่ามาจากชาติไหน เราไม่อยากบอกว่าเรามาจากชาติไหนเลย เราอายเขา

เพราะเราทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั่นล่ะคือประโยชน์ของเรา แต่ถ้าทำประโยชน์ของเรานะ เราจะไม่ได้อะไรเลย เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ของเรา ทำเพื่อเราๆ ทำเพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ได้ทำเพื่อเรา กิเลสมันกว้านมาแล้วมันใช้จ่ายเท่าใด มันใช้สอยเท่าไร แล้วมันมาสะสมไว้ มันมีแต่โทษของมันเท่านั้นแหละ เพราะว่าอยากได้ของเราๆ ไง

แต่ถ้าเราต้องการเพื่อจิตใจเราเป็นธรรมๆ นั่นล่ะของเราทั้งนั้นแหละ ของเรา เห็นไหม ดูสิ ดูนาฬิกานะ นาฬิกาเวลามันเดินของมันไป ใครได้ประโยชน์จากมัน ตัวนาฬิกามันได้ประโยชน์อะไรของมัน มันเป็นแค่เครื่องจักร มันเป็นเครื่องจักรที่เวลามันหมุนของมันไป เราได้ประโยชน์จากมัน

แล้วถ้าเราดูนาฬิกานะ นาฬิกาแต่ละเรือน นาฬิกาที่มันเดินเที่ยงตรง ราคามันจะสูงมันจะต่ำ ดูความเที่ยงตรงของมัน ประโยชน์ของมัน แต่เขาก็ทำให้มันซับซ้อนขึ้นไป ไปประดับเพชรประดับพลอยขึ้นมาว่ามีราคาๆ เห็นไหม เขามีไว้เพื่อดูเวลานะ แล้วเวลาของมัน มันก็ไม่เข้าใจว่าเวลาของมันเป็นประโยชน์อะไรกับมัน มนุษย์ได้ประโยชน์จากมัน เพราะเวลาของเรา เรานัดหมายของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา นั่นคือนาฬิกาที่ใครก็ได้ประโยชน์จากมัน

นาฬิกาชีวิตของเรา ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย นาฬิกาชีวิตของเรา เรามีความสุขความทุกข์ มันเดินของมันไป แล้วมันต้องไปตายข้างหน้า นาฬิกาเวลามันตาย เขาไปซ่อม มันยังเอามาได้ เวลาถ่านมันหมดก็เปลี่ยนถ่าน มันก็ยังเดินของมันไปได้ ของเราเวลาถ้ามันหมดอายุขัยนะ เวลามันตายไป มันหมดอายุขัยมันไป นาฬิกาของเรามันเป็นนาฬิกาของวัฏฏะ มันจะหมุนไปข้างหน้า สิ่งที่หมุนไปข้างหน้า นาฬิกาที่มันเสียหาย เราจะเอาอะไหล่อะไรไปซ่อมมัน

นี่ก็เหมือนกัน เวรกรรมที่สร้างมา ความเห็นแก่ตัวว่าเป็นสมบัติของตนๆ ทำให้มันชำรุดเสียหายไป แล้วถ้าเป็นสมบัติสาธารณะ เรามีอะไหล่ เรามีความพร้อม เรามีสังคม เรามีชุมชน เราขาดตกบกพร่องเมื่อไหร่ทุกคนจะดูแลเรา นี่ก็เหมือนกัน นาฬิกาชีวิต ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา สิ่งที่เป็นคุณงามความดี บุญกุศลนั้นมันส่งเสริมเรา แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งใดส่งเสริมเราเลย เวลานาฬิกามันเสียหาย เขาต้องมีอะไหล่ซ่อมแซมมัน นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา เวลาเราต้องวนไปในวัฏฏะ เราจะมาซ่อมแซมชีวิตของเรา ถ้ามันมีสติมีปัญญาอย่างนี้มันจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกของเรา

เราเห็นว่าทรัพย์สมบัติมันมีค่า...ทรัพย์สมบัติมันมีค่า มีค่าสำหรับหัวใจที่สูงส่ง หัวใจที่เป็นธรรม เพราะสิ่งนั้นเขาเจือจานสังคมนะ ดูคนสิ คนที่เขาปิดทองหลังพระ เขาเห็นสังคมทุกข์ยาก เขาช่วยเหลือเจือจาน เขาตั้งมูลนิธิของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์สังคมของเขา เขาปิดทองหลังพระ นั่นเขาทำประโยชน์ไง เขาทำประโยชน์เพื่อชุมชน ประโยชน์เพื่อคนอื่น นี่ทรัพย์สมบัติที่เป็นของคนที่จิตใจเป็นธรรม เขาจะเป็นประโยชน์ของเขา

แต่ทรัพย์สมบัติของจิตใจคนที่ไม่เป็นธรรมมันจะเป็นประโยชน์กับใคร เก็บไว้ให้มันเสื่อมค่า นี่เงินเฟ้อๆ เวลามันเสื่อมค่าของมันไป เก็บไว้เท่านั้นแหละ ของเราๆ เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่คนที่เป็นธรรมๆ มันทำประโยชน์ของมันได้ นี่พูดถึงวัตถุ พูดถึงทรัพย์สมบัตินะ คนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบัญญัติธรรมวินัย เห็นไหม ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย พระก็ต้องมีปัจจัย ๔ ของเรา มีผ้าไตรจีวร มีบาตรเพื่อเป็นอาหาร มียารักษาโรค น้ำดองมูตรเน่า ที่อยู่อาศัย ปัจจัยดำรงชีวิตมันต้องมีของมันอยู่ ถ้าของมันมีอยู่นะ เราเกิดมามีชีวิตทำไม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดาของเราด้วย วางธรรมวินัยไว้เพื่ออะไร? เพื่อให้เราก้าวเดินไป ใครที่เกิดมา เห็นไหม ฆราวาสธรรม เกิดเป็นฆราวาสขึ้นมาเขายังมีคุณธรรมของเขา เขายังสร้างคุณงามความดีของเขา แล้วถ้าใครเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ ปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน โลกเขาก็ต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เขาต้องหาปัจจัยด้วยความปากกัดตีนถีบของเขา

เราบวชมาเป็นพระเพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเป็นพระมันก็ต้องดำรงชีวิต ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตของเราเป็นวัตร ถ้าทำสิ่งใด คณะสงฆ์เข้มแข็ง อยู่ในธรรมวินัย สังคมเขาก็มีที่พึ่งอาศัยของเขา สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุขของเขา

นาฬิกาชีวิต นาฬิกาที่มันมีคุณค่านะ มันเดินเที่ยงตรงของมัน แต่เขาก็ทำให้มันซับซ้อนขึ้นเพื่อมูลค่าในการตลาดของเขา นี่มันซับซ้อนขึ้น ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเที่ยงตรงกับเรา เราซื่อสัตย์กับเรา ถ้าเราซื่อสัตย์กับเรา เรามีความสำนึกไง ถ้ามีความสำนึกดีสำนึกชั่วขึ้นมา คนทำดีทำชั่ว ความดีความชั่วมันมองกันได้

ความดีของโลก ความดีขวนขวายปากกัดตีนถีบเพื่อความมั่นคงของชาติตระกูลของเรา ดูสิ หัวใจของเราละล้าละลังนะ จิตใจก็ห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงว่าชาติตระกูลจะมั่นคงหรือไม่มั่นคง แล้วก็ห่วงว่าชีวิตนี้ตายแล้วจะไปไหน เกิดมามันทุกข์ยากสิ่งใด มีความเศร้าหมอง เห็นไหม สังคมไทย สังคมพุทธ เวลาแก่เฒ่าขึ้นมาก็ไปวัดไปวาขึ้นมา ไปวัดไปวาเพื่อหาความมั่นคงของใจ ให้ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ ให้ใจมันมีที่พึ่งอาศัย

ถ้าเรามีสติมีปัญญาเดี๋ยวนี้ เราทำหน้าที่การงานของเรา เราแบ่งเวลา เห็นไหม หลวงตาท่านสอนประจำ ปริญญาเอก เอกตาเดียว เอกคือเอาแต่ทางโลกอย่างเดียว ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชไปแล้วเราก็มาทางศาสนาเลย มาทางเป็นนักพรตนักบวชเพื่อขวนขวายของเราเลย แต่ถ้าเรายังต้องใช้ชีวิตของเราในทางโลก หน้าที่การงาน คนสองตา เอกสองข้าง ข้างหนึ่งก็หน้าที่การงานของเรา เราก็ขวนขวายของเรา เราก็พยายามขวนขวาย พยายามทำของเราเต็มไม้เต็มมือของเรา ถึงเวลาเราวางงานแล้วเราก็รักษาบำรุงหัวใจของเรา เพราะหัวใจเรามันจะสัมผัสได้นะ

ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม เราศึกษามาขนาดไหนมันก็เป็นตัวอักษร เป็นทฤษฎีทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้เนื้อหาตามความเป็นจริงหรอก แก้วน้ำก็แก้วน้ำเปล่าๆ ไม่มีน้ำในแก้วนั้นเลย ร่างกายโครงสร้างของมนุษย์เราก็เป็นของเรา หัวใจก็เป็นของเรา หัวใจก็เร่าร้อน ถ้ามีคุณธรรมของเรา ศึกษามาแล้ว ศึกษามาเป็นทฤษฎี

น้ำ น้ำมีคุณค่ากับชีวิต น้ำมีคุณค่า ทั้งๆ ที่มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ธาตุ ๔ ธาตุน้ำมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เราต้องไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วศึกษามาแล้ว ของดีมีอยู่ในตัวก็ไม่รู้จักของมัน แก้วมันไม่มีน้ำเลยก็ต้องหาน้ำมาใส่มัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากได้คุณงามความดีของเรานะ เราก็มาฝึกหัดของเรา

สติ ถ้ามีสติเราก็มีสติเพื่อระลึกรู้ มีสติเพื่อไม่ฟุ้งซ่านไปกับโลกนัก มีสติควบคุมหัวใจของเรา ทำสิ่งใดก็ไม่ขาดสติ ถ้าไม่ขาดสติ ทำสิ่งใดมันก็ไม่มีความผิดพลาดพลั้งเผลอไป นี่มันเป็นโลกียปัญญา เป็นสติทางโลก ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น เราก็ยับยั้งความคิดในหัวใจของเรา เราก็แบ่งเวลาของเราเพื่อรักษาของเรา

ทำหน้าที่การงานมันต้องมีเวลาพักผ่อน เวลาพักผ่อนเราก็กำหนดได้แล้ว เวลาพักผ่อน กำหนดพุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ เราก็ต้องมีสติปัญญาของเราไป เห็นไหม ทำหน้าที่การงานขึ้นมา เราขวนขวายขึ้นมา ผลงานมันเสร็จ เสร็จงานแล้วเราก็สบายใจ จิตใจที่มันฟุ้งซ่าน ถ้ามันมีคำบริกรรม มีปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ถ้ามันสงบระงับเข้ามา เรามีความสุขใจ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

ทำหน้าที่การงานเสร็จแล้วก็มีความปลื้มใจ ปลื้มใจแล้วมันก็มีความภูมิใจ มันมีความสุขของมัน ความสุขจากการปฏิบัติหน้าที่ ได้ทำงานนั้นเสร็จแล้ว เวลากำหนดพุทโธๆ ถ้ามันยังกำหนดพุทโธไม่ได้ เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา แต่ถ้ามันพุทโธๆ จนละเอียดเข้ามา จนมันเวิ้งว้างเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา

ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา เห็นไหม “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” น้ำในแก้วนั้นก็จะเกิดขึ้นมา น้ำให้ความสุข น้ำให้ชีวิต น้ำให้ทุกๆ อย่าง ที่ไหนมีน้ำที่นั่นก็มีชีวิต ถ้าจิตใจเราได้อมตธรรม น้ำอมฤตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม ถ้ามันทำของมันได้ มันก็มีความร่มเย็นเป็นสุขของมัน

ศึกษามาๆ ขนาดไหน ศึกษามาเป็นทฤษฎี ศึกษามาก็เหมือนกับหน้าที่การงานทางโลก ทำแล้วก็ปลื้มใจ ศึกษาแล้วก็เข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ก็ลังเลสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง แต่เวลาความทุกข์ กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจ มันเป็นความจริงทั้งนั้นแหละ พอมันเหยียบเข้าไปแล้วร้องโอดโอยทั้งนั้นแหละ นี่ความจริงคือความทุกข์ ความจริงคือความลังเลสงสัย

แต่ความเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ความรู้แจ้ง เห็นไหม “เมื่อไหร่มันจะสงบสักที สงบมันจะมีคุณค่าอย่างใด สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สงบเป็นอย่างไร เราก็เคยมีความสุขความสงบมาแล้ว ความสุขสงบนี่มันปลื้มใจ มันพอใจ”

เวลาปฏิบัติเขาบอกว่า ปฏิบัติมันปฏิบัติยาก ทำงานสิ่งใดไม่ยากเลย

ธรรมะนี้ให้คุณค่าไปทั้งหมด ให้แต่คุณงามความดีทั้งนั้นแหละ แต่ที่มันยาก ยากเพราะกิเลสของเรา กิเลสของเรามันแทรก เห็นไหม คนอยากได้ อยากดี อยากเป็น “เราทำสิ่งใดเราก็ทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำแล้วกำหนดไปก็ลูบๆ คลำๆ”

เขาทำของเขาจริงจัง คนจริงจังเขาบอกเขาต้องจริงจังของเรา ไอ้ลูบๆ คลำๆ มันก็ “จริงจังของฉัน จริงจังของฉัน” ก็ล้มลุกคลุกคลาน มันก็ไม่ได้เป็นจริงของมันหรอก แล้วก็บอกว่า “เราทำแล้ว ทำแล้วก็ไม่ได้ มันคงจะไม่มีหรอก ความจริงในโลกนี้มันไม่มีหรอก ศาสนามันไม่มีความจริงหรอก มันไม่มีความจริง” นี่กิเลสมันคอยยุคอยแหย่ กิเลสมันคอยทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน พอล้มลุกคลุกคลานมันก็เสริมขึ้นไปนะ

คน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ตนมันมีกิเลสครอบงำอยู่ ตนมันมีพญามารครอบงำอยู่ มารมันก็อาศัยตน อาศัยทิฏฐิมานะของตน อาศัยความเห็นของตนยุแหย่ จุดไฟเผาเข้าไปเลย พอจุดไฟเผา “มันไม่มี เออ! ไม่มีจริงๆ เราก็ทดสอบแล้ว เราทำแล้วเราทำไม่ได้”...นี่เพราะกิเลสมันเข้ามาสอดแทรกขึ้นมา การทำสิ่งนั้นมันถึงไม่มี

แม้แต่แก้วน้ำ แก้วน้ำก็ไม่มีน้ำอยู่แล้ว แล้วเราพิสูจน์แล้ว แก้วน้ำไม่มีก็ทุบแก้วมันทิ้งไปเลย เลิก ไม่ทำอะไรแล้ว กลับไปใช้ชีวิตเสเพลของเราดีกว่า กลับไปอยู่กับโลกของเรา ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกการเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ การเกิดของเราเริ่มต้น เริ่มต้นมีเรา มีจิตใจที่สัมผัสธรรม มีเราก็มีชีวิต ถ้ามีชีวิตแล้วศึกษาธรรมะๆ ศึกษาต่างๆ ลัทธิศาสนาใดๆ เขาก็เพื่อความดีงามๆ ก็ดีงามแบบโลก ดีงามแบบปรัชญา ดีงามแบบความเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าก็ตัดสินไปเอง

แต่ของเราไม่ใช่ ตายแล้วก็อยู่ที่การกระทำ ถ้ามันมีสติปัญญาเดี๋ยวนี้ ทำความดีเดี๋ยวนี้ นาฬิกาของเรามันจะหมดอายุขัยไป เราจะเอาอะไรซ่อมแซมมันไป? ก็บุญกุศล คุณงามความดีซ่อมแซมมันไป ถ้าซ่อมแซมมันไป สิ่งที่คุณงามความดีอย่างนี้ เราทำของเรา ถ้ามันมีสติมีปัญญา กิเลสมันไม่เข้ามาสอดมาแทรก ถ้ากิเลสเข้ามาสอดมาแทรก มันทำให้ล้มลุกคลุกคลานไปหมด แล้วก็บอกว่าปฏิบัติมันปฏิบัติยาก มันยากตรงนี้ไง ยากตรงที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา แล้วกิเลสมันหยาบกิเลสมันหนา มันก็มีข้อต่อรองมากมายไปหมด

แต่ถ้ากิเลสมันลุ่มลึกนะ “เราก็ทำแล้ว เราก็เป็นแล้ว เมื่อไหร่ก็ทำได้ เรารอไปทำตอนกำลังใกล้จะตาย พอตายแล้ว กำหนดเป็นพระอรหันต์ไปพร้อมกับตายไปเลย” นี่มันคิดไปร้อยแปด ทุกคนคิดอย่างนั้น คิดว่าจนตรอกแล้วเราจะปฏิบัติ จนตรอกแล้วเราจะทำ แล้วมันทำได้จริงไหม นี่ไง เวลากิเลสมันลุ่มลึก กิเลสมันละเอียดมันก็หลอกไปอย่างหนึ่ง เวลากิเลสมันหยาบๆ มันก็พาลไปหมดเลย เราทำอย่างไร

อันนี้มันเป็นจริตนิสัยของตนนะ โทษใครไม่ได้ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พันธุกรรมของจิต จิตของใครมันอย่างไรมันคิดอย่างนั้นแหละ แล้วมันคิดอย่างนั้นแล้วใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ล่ะ มันคิดอย่างนั้นก็ตัณหาความทะยานอยากของเรา ก็พญามารของเราไง แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษา ที่รู้ ปลื้มอกปลื้มใจ นี่ของจริงทั้งนั้นแหละ ถ้าของจริง เราทำได้จริงหรือเปล่า

ถ้ามันทำได้จริง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่าถ้าใครกิเลสมันหยาบกิเลสมันหนา มันก็ต้องลงทุนลงแรงมากกว่าคนที่กิเลสเขาเบาบาง ถ้าใครลงทุนมาก ลงทุนน้อย ก็ต้นทุนมันมาไม่เหมือนกัน จิตใจสร้างบุญกุศลมาแตกต่างกันไปก็เริ่มต้นแตกต่าง ก็ต้องทำมานะบากบั่นแตกต่างกันไป ทำแล้วถ้ามันได้จริง จริงอันเดียวกัน อริยสัจมีหนึ่งเดียว

เวลามาถึงจริง สมาธิก็คือสมาธินี่แหละ แล้วคนที่ชำนาญในสมาธิก็เป็นเจโตวิมุตติ คนที่ใช้สมาธิมีพื้นฐานทำสมาธิได้ยาก ใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ถ้าสมาธิมันใช้ปัญญาขึ้นมามันก็เป็นปัญญาวิมุตติ ถ้าปัญญาวิมุตติมันก็แตกต่างกัน แต่อริยสัจมันอันเดียวกัน เวลาถึงที่สุดแล้วมันเป็นหนึ่งเดียวกัน จะหยาบ จะละเอียด จะทุกอย่างมันหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น อริยสัจมีหนึ่งเดียว มันถึงธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เขาถึงคุยธรรมะกันได้

ธรรมะมันจะแตกต่างกันไปตรงไหน มันอันเดียวกัน แต่คนที่มันแตกต่างกัน แตกต่างกันตรงจริตนิสัย แตกต่างกันตรงอำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกัน เห็นไหม สติ มหาสติ ดูสิ เวลามรรคสามัคคี เวลาชำระล้างกิเลสเป็นโสดาบันขึ้นมา โสดาบันก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่คนมันล้มลุกคลุกคลานแตกต่างกันมา แต่พระสารีบุตรไปฟังพระอัสสชิพูดคำเดียวเท่านั้นแหละ

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละที่เหตุนั้น”

พระสารีบุตรแทงทะลุเป็นพระโสดาบันเลย ของเรานี่นะอย่างกับวัวเทียมเกวียน ลากไปเกือบเป็นเกือบตาย ลากเกวียนไปด้วยไง แล้วเกวียนบรรทุกข้าวสารด้วย แล้วมันขึ้นเนินอีกต่างหาก โอ๋ย! เดินเกือบเป็นเกือบตาย พระสารีบุตรฟังพระอัสสชิพูดคำเดียวเท่านั้นแหละเป็นพระโสดาบันเลย นี่มันแตกต่างกันตรงนี้ แตกต่างกันตรงอำนาจวาสนาบารมี แตกต่างกันตรงสร้างสมกันมา

ฉะนั้น ที่มันทุกข์มันยากเพราะกิเลสเราทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นกิเลสเราแล้วเราต้องภูมิใจ ภูมิใจว่าเราเป็นคนใช่ไหม เราทำคุณงามความดีมาขนาดไหนเราก็ได้คุณงามความดีมา สิ่งที่เราได้สร้างมาสะสมในใจของเรามันเป็นทิฏฐิมานะอย่างนี้ มันก็เป็นเราทำมาทั้งนั้นแหละ ถ้าเราทำมาแล้วไปโทษใครล่ะ ถ้าเราทำมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแตกต่างหลากหลายมาก เราเอาสิ่งใดประพฤติปฏิบัติเป็นแนวทาง ถ้ามันตรงกับจริตตรงกับนิสัยของเรา เราทำสิ่งนี้ให้มั่นคงขึ้นไป

เพราะนาฬิกาเวลามันตายไปแล้วเขาก็ทิ้ง แต่ชีวิตของเราเวลาหมดอายุขัยไปแล้ว บุญกุศล สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นาฬิกามันซับซ้อนเพราะเขาทำขึ้นมาเพื่อมูลค่า เพื่อเขาจะแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า จิตใจของเรา เราสร้างคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันซับซ้อน เห็นประโยชน์ซับซ้อน เห็นประโยชน์แตกต่าง ผลประโยชน์ทับซ้อนมันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานหมดเลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดเลยนะ ละชั่ว ทำดี ละความชั่ว ทำคุณงามความดี ความดีทำต่อเนื่องไปๆ ละชั่ว ทำดี เท่านั้นแหละ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แต่เราชอบให้มันซับซ้อน ชอบให้มันแปลกประหลาด แล้วทำกันไปแล้วก็งง

แต่ถ้าเราทำเรียบง่าย ทำของเราให้เรียบง่าย วางให้หมด แล้วทำให้มันเรียบง่าย ทำให้เป็นตามความเป็นจริง ตามจริตตามนิสัยของเรา ทำเข้าไป ถึงที่สุดแล้วเราจะเห็นคุณงามความดีของเรา เราจะเห็นสัจธรรมของเรา สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ ธรรมวินัยเป็นศาสดาๆ แต่ความรู้ความจริงที่เป็นของเราเป็นสัจธรรมของเรา ถ้ามันมีสัจธรรมความจริงอันนี้เราจะรู้แจ้งในหัวใจของเรา แล้วจะเห็นคุณค่าของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เห็นคุณค่าของหัวใจเรา เอวัง